วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2552

เกี่ยวกับ สติ๊กเกอร์ชนิดหนึ่ง ซึ่งทำทีเหมือนจะแจกฟรี แต่ดันเรียกเก็บตังค์ซะงั้น

บ่ายโมงหน้าโรงภาพยนตร์สยามวันหนึ่ง ผมเห็นวัยรุ่นผู้หญิงสองคนกำลังควักกระเป๋าตังค์ส่งให้หญิงวัยกลางคนเพื่อแลกกับสติ๊กเกอร์ 1 แผ่น (สติ๊กเกอร์อะไรขอละไว้นะครับ) หน้าตาน้องเขาไม่ค่อยเต็มใจเท่าไรแต่ก็ต้องจ่ายเงินให้อย่างเสียมิได้เพราะรับมาในมือแล้ว

ผมเลยนึกถึงตัวเองสมัยยังอายุพอๆกับน้องคนนั้น (ย้อนไปไม่นานมากหรอก ฮิฮิ) ก็เคยเจอเรื่องคล้ายๆกันแบบนั้นเหมือนกัน เนื่องจากผมมักจะช่วยหยิบกระดาษโฆษณาต่างๆ เพื่อช่วยให้คนที่มายืนแจก แจกให้หมดๆไปจะได้มีรายได้ หรือกลับบ้านเร็วขึ้น แต่วันนั้นผมหยิบสติ๊กเกอร์ลักษณะนี้จากป้าคนหนึ่ง แล้วป้าก็บอกราคาที่ผมต้องจ่าย ผมจำไม่ได้ว่ามัน 20, 40 หรือ 50 รู้แต่มันแพงมากสำหรับสติ๊กเกอร์ใบเดียว แต่ด้วยความรู้สึกตามที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้จึงทำให้ผมยอมจ่ายทั้งที่เสียดายเงิน เพราะผมไม่ได้ตั้งใจจะซื้อเลย

โอเค คุณอาจจะบอกว่านี่ไม่ได้บังคับซื้อนะ จะไม่เอา ส่งคืนคนที่ยืนขายก็ได้ แต่ด้วยแรงศรัทธาอันกล้าแกร่งในใจ ที่มีต่ออะไรในสติ๊กเกอร์นั้น ก็ย่อมจะทำให้บุคคลที่รับสติ๊กเกอร์เข้ามาไว้ในมือ ไม่อาจจะปล่อยมือไปจากสติ๊กเกอร์นั้นเพื่อส่งคืนได้ จนต้องจ่ายเงินตามราคาที่ผู้ขาย (ที่ทีแรกทำตัวเหมือนยืนแจกฟรี)

(หรืออาจเป็นความเชื่อที่ถูกปลูกฝังมานานนม ว่าการปฏิเสธสิ่งนั้นคือบาปกรรม ทำให้ไม่กล้าปฏิเสธ)

ผมสังเกตุเห็นหญิงวัยกลางคนรายนั้นแต่งตัวด้วยชุดโปโลชนิดที่สถานที่ทำงานหลายๆแห่งมักจะบังคับให้พนักงานสวมใส่ในวันนี้ๆนั้นๆ ซึ่งทำให้เชื่อว่าถ้าไม่แอบอ้างก็คงจะมาจากมูลนิธิอะไรสักแห่ง จึงสงสัยว่าทำไมเขาไม่ตั้งโต๊ะนั่งขายให้ดูเหมือนว่ามาขายของจริงๆเพื่อให้คนอื่นรู้ว่าต้องจ่ายเงินแลกถ้าจะเอาของ ไม่ใช่มายืนทำทีเหมือนให้คนที่ไม่รู้เข้าใจผิดว่าแจกฟรี แต่สุดท้ายก็ทวงราคา เหมือนเล่นกับความรู้สึกคน ทั้งความศรัทธา และความกลัวต่อผิดชอบชั่วดีตามความเชื่อที่ถูกปลูกฝัง

หรือกลัวว่าถ้าตั้งโต๊ะขายจะไม่มีคนซื้อ แสดงให้เห็นว่าจริงๆพวกตอแหลชน ดัดจริตชน ที่พากันซาบซึ้ง...ซาบซึ้งกันตามหน้ากระทู้เว็บบอร์ดต่างๆ แท้จริงมันก็แค่พวกพีอาร์ปั่นกระแส ไม่ได้มีใครซาบซึ้งขนาดไล่ตามทุกอย่างเหมือนที่โปรโมต ดูตามร้านหนังสือซิ หนังสือหนังหาทั้งหลายที่เกี่ยวกับ"สิ่งเหล่านั้น" ยังคงอยู่เป็นมิ่งเป็นขวัญให้ร้านไม่มีหดหายแทบทุกเล่ม หนังสือพวกนี้ผมว่าถ้าเปลี่ยนวิถีขายมาขายแบบยัดใส่มือแล้วทวงเงินเหมือนขายสติ๊กเกอร์บ้างสิ รับรองหมด

ผมเชื่อว่าความรู้สึกสิ้นเปลือง เสียดายเงินมันไม่ได้อยู่ที่จำนวนเงินที่เสีย แต่อยู่ที่ความเต็มใจของเราที่จะจ่าย ผมไม่เสียดายเงินที่จะซื้อดีวีดีราคาหลักร้อยหรือหลักพัน หรือตุ๊กตาชุดผ้าตัวละครึ่งหมื่นที่ผมอยากได้ แต่อะไรที่ผมไม่ได้อยากได้ แต่ต้องจ่ายเพราะความรู้สึกผิดชอบชั่วดีอะไรก็ตาม ต่อให้จ่ายแค่สองบาท สิบบาท ก็น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง

ไม่มีความคิดเห็น: